ใครที่ได้ลองเล่น Texas Holdem โป๊กเกอร์กันไปแล้ว ก็คงเบื่อบรรยากาศแบบเก่า ๆ อยากจะลองเล่น Pot Limit Omaha กันบ้างว่าจะสนุกสักแค่ไหน ทว่าความผิดพลาดของผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ว่าใหม่หรือเก่ามักจะลืมไปว่าสองเกมนี้มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ไม่ใช่แค่กติกาเท่านั้น แต่ยังไปถึงแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญต่อการเป็นผู้ชนะในเกมอย่างมาก ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าก่อนย้ายไปเล่น PLO มีเรื่องอะไรบ้างที่เราต้องรู้
Starting Hand & Hand Combinations
จากช่วงต้นเกม Texas Holdem เราจะได้รับแจกไพ่ 2 ใบ เกมนี้เลยมีเพียงแค่ 169 Starting Hand กับ 1,326 Hand Combination เท่านั้น ทำให้ความแข็งแกร่งของไพ่ในช่วงก่อนฟล็อบออกแทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย ต่อให้เราได้ A♦Q♦ ข้าวหลามตัด หรือ A♥Q♥ มันก็ถูกนับเป็น Combination เดียวกัน
ต่างจาก PLO ที่เพียงแค่เพิ่มไพ่มาอีก 2 ใบ ก็ส่งผลให้ Hand ขยับมาเป็น 16,432 Starting Hand กับ 270,725 Hand Combination ด้วยตัวเลขที่ขยับขึ้นมาขนาดนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเราจะสร้าง Starting Hand Chart บน Omana Poker
สถานการณ์แบบนี้ Raise แค่ไหนดีถึงจะเหมาะ วันนี้เราจะมาดูวิธีเลือกขนาด Raise ที่เหมาะกับแต่ละสถานการณ์จะช่วยสร้างความได้เปรียบและทำให้เราเล่นได้อย่างเหมาะสมที่สุดด้วย
กติกาของ PLO
แม้ว่ากติกาทั่ว ๆ ไประหว่างสองเกมนี้จะมีความคล้ายกันตั้งแต่จำนวนผู้เล่นที่ไม่น้อยกว่า 2 คน ต้องมีการลง Blind ก่อน รอบการเล่นก็มี Flop, Turn, River เหมือนกัน ทำให้หลายคนคิดว่าถ้ามีพื้นฐานใน Holdem อยู่แล้วสามารถเริ่มต้นเล่นได้ทันที
ความแตกต่างตรงที่ PLO จะได้รับไพ่เพิ่มอีก 2 ใบ แล้วเราจะต้องเอาไพ่ 2 ใน 4 ใบของเราไปรวมกับอีก 3 ใบบนบอร์ดเพื่อให้ได้ชุดที่ดีที่สุดในการ Showdown ทำให้มีข้อได้เปรียบมากกว่า Holdem ที่ไม่สามารถเลือกไพ่ได้เอง เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในเกมนี้จึงมีแค่การถือ Quads เพราะเราจะใช้ได้เพียงแค่ 2 ใบเท่านั้น ส่งผลให้ไม่สามารถ Improve Hand ได้นั่นเอง
Pot Limit
จุดเด่นของเกมนี้อยู่ที่ Bet Size ที่ไม่ได้ปล่อยให้บานปลายเหมือน No Limit หรือถูกกำหนดตายตัวอย่าง Fixed Limit ทำให้ Maximum Raise แปรผันไปตาม Pot Size ปกติแล้วเราจะจำแค่ว่า Raise Pot Size = Pot ปัจจุบัน + (Bet ของคู่ต่อสู้ x 3) สมมติว่า Pot = $25 อีกฝ่าย Bet $25 เราจะ Raise ได้ไม่เกิน 25 + (25 x 3) = $100
Bankroll Management
เมื่อเกมเปลี่ยน การจัดการกับ Bankroll ก็เปลี่ยนตามไปด้วย เมื่อเราย้ายมาเล่น PLO แล้วก็ให้ยึด Bankroll Management ไว้ที่ 50 Stack ไปเลย แม้ว่าจะดูเยอะในช่วงแรกแต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำบนเกมนี้
Small Limits
ช่วงเวลาแรก ๆ ที่เราหัดเล่น PLO ควรจะเริ่มจาก Small Limit เพื่อสร้างความคุ้นเคยเสียก่อน หากเคยเล่นที่ 100 ห้ามมาเริ่มต้นที่ 100 เป็นอันขาด ขนาดระดับ Pro-Player ใน No Limit 400 ยังไม่สามารถพาตัวเองอยู่รอดใน PLO 50 ได้เลย ต่อให้รูปแบบการเล่นจะคล้ายกันแต่แนวคิดพื้นฐานในเกมนี้แตกต่างกัน การใช้เวลาศึกษาและหาประสบการณ์ยังคงเป็นเรื่องสำคัญเสมอ
100 BB
ผู้เล่นที่มีประสบการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเริ่มต้นที่ดีควรเริ่มที่ 100BB และพยายามหลีกหนี Deep Stack ให้มากที่สุด เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้เริ่มต้น ทางที่ดีควรจะมองหาโต๊ะที่ Stack น้อย ๆ เล่นกันสัก 40BB เพื่อให้การตัดสินใจดีขึ้น อย่างไรก็ตาม Short Stack ก็ยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องไม่ควรทำสำหรับมือใหม่ ถึงมันจะเป็นกลยุทธ์ที่มักจะใช้กันใน PLO แต่ถ้าไม่มีพื้นฐานที่ดีก็จบเหมือนกัน
เตรียมใจรับกับ Big Swing
แทบจะเป็นเรื่องปกติกันไปแล้วสำหรับ Pot Limit Omaha สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือสภาพจิตใจที่ต้องเจอกับการขึ้นลงอย่างรุนแรงราวกับรถไฟเหาะ หลายครั้งที่เราอาจเล่นเสีย 10 buy-in หรือมากกว่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาตัดสินใจได้ในทันที บางครั้งอาจเป็นเพราะการ Swing ก็ได้ ถ้าอยากจะรู้ว่าเกมของเราแย่หรือไม่ ก็รอให้จบเกมก่อนแล้วค่อยวิเคราะห์ก็ไม่สายเกินไป
การตั้งจุดยอมแพ้
Stop Loss หรือจุดยอมแพ้เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่เสมอ ยิ่งเป็น PLO ก็ควรจะตั้งไว้ประมาณ 3-5 buy-in กำลังดี อย่าลืมว่าความผันผวนของ PLO มันเป็นตัวปั่นให้เราหัวร้อนได้เป็นอย่างดี หลายคน Tilt สูงจนไปเล่นใน Hand ที่ไม่ควรเล่น หากเรามี Stop Loss ที่ชัดเจนมันก็จะช่วยปกป้อง Bankroll ของเราได้
ความสำคัญของ Nuts
หาก Omaha จะมี Drawing Hand มากกว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเราได้ไพ่มาตั้ง 4 ใบ สำหรับมือใหม่แล้วควรถือไว้เป็นกฎเลยว่าเมื่อใดก็ตามที่ได้ไพ่ Nuts ให้รีบ Draw เสียเมื่อมีโอกาส ไม่เช่นนั้นอาจต้องจ่ายให้กับ Draw นี้ในราคาที่แพงมาก แล้วอย่าไปตัดสินใจอะไรยาก ๆ ในช่วง Turn กับ River
ส่วนไพ่ Q-high กับ J-high flush ส่วนใหญ่เราจะเอาไว้จับบลัฟฟ์เท่านั้น ขณะที่ไพ่ Straight ล่างจะกลายเป็นตัวอันตรายยิ่งกว่าตอนอยู่ใน Holdem เสียอีก ทำให้เราต้องตัดสินใจ Draw ไพ่ Nuts แล้วถ้าเรามีแค่ 2nd หรือ 3rd Nuts ก็ควรระวังเอาไว้ด้วยเช่นกัน
วิถีแห่งการ Draw
ไพ่ Draw อาจเรียกได้ว่าเป็นอาวุธสำคัญในเกม PLO เพราะมันสามารถทำให้ Made hand ดี ๆ ตกที่นั่งลำบากได้ ต่อให้เป็น Top Set หรือ Made Straight ก็อาจไปไม่เป็นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ Draw ที่ดีมาก ๆ
Post-flop คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริง
หลังจากที่เราได้รับไพ่มาแล้วหากเป็น Texas Holdem เราแทบจะรู้จุดจบของมือเราทันที เพราะแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยเมื่อ Flop ออก ต่างจาก PLO ที่เราจะโฟกัสกันที่ Post-flop เป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่นเราได้ AA หากเป็น Holdem เรามีโอกาสชนะมากถึง 80% แต่เมื่อเป็น PLO ไพ่นี้อาจดีแค่ Pre-flop เท่านั้น แล้วส่วนใหญ่มันจะหมดค่าทันทีที่ Flop ออก เพราะคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่จะติด Two-pair หรือ Draw ที่ดีกว่าเสมอ ทำให้เราเหลือโอกาสชนะเพียงแค่ 66% เท่านั้น
ความแปรปรวน
ความแปรปรวนใน PLO ถือว่าสูงกว่า Holdem อย่างมาก แม้ว่าเราจะมีโอกาสเล่นเกมที่ดีสูงกว่า แต่เราก็เสียเงินได้ง่ายกว่าเช่นกันเมื่อต้องไปเจอกับเกมแย่ ๆ ใครที่คิดจะมาเล่นเกมนี้ต้องเผื่อใจให้กับความแปรปรวนที่ดุจสาววัยทองตรงนี้ด้วย
สรุปแล้วจะเปลี่ยนมาเล่น Pot Limit Omaha ดีหรือไม่
มาถึงตรงนี้คงเห็นกันแล้วว่าความแตกต่างระหว่าง Holdem ที่คุ้นเคยกับ PLO ไม่ได้มีเพียงแค่กฎกติกาเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงแนวคิดพื้นฐานกันอีกด้วย อาจเรียกได้ว่าเราต้องปรับ Mind Set กันพอสมควร เพราะใน Texas Holdem ทันทีที่เราได้รับไพ่มาก็พอจะรู้แล้วว่าต้องเล่นอย่างไร ที่เหลือก็แค่เก็บข้อมูลของผู้เล่นคนอื่น ๆ แล้วหากลยุทธ์รับมือให้เหมาะสม ทว่า PLO นั้นแตกต่างกันมาก ทุกรอบการเล่นอาจมีเรื่องไม่คาดฝันเสมอ สิ่งที่เราต้องมีคือความพร้อมที่จะรับมือกับความแปรปรวนตรงนี้ให้ได้ หากทำได้ล่ะก็ PLO จะเป็นเกมโป๊กเกอร์ที่ทำกำไรได้ดีเลยทีเดียว
ครั้งนี้จะมาบอกถึง เทคนิคเก็บข้อมูลคู่ต่อสู้อย่างไรให้ได้ผล บนโป๊กเกอร์ออนไลน์ และมาหาคำตอบกันว่า ทำไมต้องเก็บข้อมูลด้วย