ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือใหม่ก็คือความสามารถในการอ่าน Range ไพ่ของคู่ต่อสู้ ซึ่งถือว่าเป็นทักษะสำคัญในการสร้างผลกำไรจากการตัดสินใจหลังจากที่ Flop ออกมาแล้ว ขณะที่มือใหม่ส่วนใหญ่อาจยังไม่ชำนาญจนถึงขั้นฟันธงได้ว่าคู่ต่อสู้นั้น “มี” หรือ “ไม่มี” นั่นอาจทำให้เรารวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาปะติดปะต่อกันจนเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ในวันนี้เราจะพาไปไปดู 4 สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างมากในช่วง Post-flop ที่กล้าพูดได้เลยว่ารู้แล้วจะช่วยให้คาดเดา range ไพ่ได้ใกล้เคียงความเป็นจริงอย่างแน่นอน
วันนี้จะมาสอนวิธีอ่านทางคู่ต่อสู้บนโป๊กเกอร์ออนไลน์ด้วย Betting Pattern เมื่อต้องเล่นโป๊กเกอร์อยู่บ้าน
ข้อห้ามที่ 1 อย่าคิดว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนเรา
เรียกได้ว่าเป็นความคิดที่แย่และอันตรายกับตัวเองมาก ๆ ที่สำคัญคือหลายคนเป็นบ่อยมากโดยเฉพาะเวลาหา Range ไพ่ของคู่ต่อสู้ เช่น เวลาที่เรานั่ง Small blind ก็มักจะตัดสินใจ 3-Bet ด้วย AKo ที่นี้พอเจอคู่ต่อสู้ที่อยู่ตำแหน่งเดียวกัน เทคแอคชั่นเดียวกัน มันจะมีความคิดแว้บหนึ่งประมาณว่าถ้าเราอยู่จุดนั้นจะเล่นอย่างนั้น เพราะเราเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อนและทำอย่างเดียวกันด้วย นั่นทำให้เรามอง range ไพ่ในมือเขาเหมือนกับมือของเราในอดีต แต่บอกเลยว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครคิดเหมือนกันเป๊ะขนาดนั้นแน่นอน
ความเป็นไปได้อย่างมากที่สุดในสถานการณ์นี้ก็มีแค่เขาอาจคิดไปทางเดียวกับเรา ดังนั้นทางที่ดีคือควรจะมองหาความเป็นไปได้จากระดับทักษะและความสามารถในการเล่นของคู่ต่อสู้ จนถึงข้อมูลอื่น ๆ แล้วค่อยวางตัวเองเข้าไปในตำแหน่งนั้น ค่อย ๆ คิดดูว่าถ้าเป็นเราจะตัดสินใจอย่างไร ในมือมีโอกาสที่จะเป็นไพ่อะไรได้บ้าง
ก็ถ้าที่พูดมามันยากเกินไปล่ะก็ ลองถามตัวเองก่อนซิว่าคนที่เรากำลังสู้ด้วยตอนนี้เป็นขาประจำหรือแค่หน้าใหม่ที่ผ่านมา เขาเล่น Aggressive มากน้อยแค่ไหน แล้วค่อย ๆ เจาะลงไปเรื่อย ๆ อย่าง Check-raise บ่อยแค่ไหน ความถี่ที่จะ C-Bet เวลาเขาเจอ C-Bet มีกี่ครั้งที่ตัดสินใจหมอบเป็นต้น หากเป็นการเล่นโป๊กเกอร์ออนไลน์ก็ง่ายมาก เพียงแค่นั่งเปิดโน้ตก็พอแล้ว
จำไว้ว่าการคิดแทนคนอื่นถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง สิ่งที่ต้องทำก็คือเอาข้อมูลที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มันจะช่วยลดความเสี่ยงและตัดนิสัยการคิดเข้าข้างตัวเองออกไป มันจะทำให้เราสามารถคาดเดา range ไพ่ได้แม่นยำขึ้นกว่าเดิม
ข้อห้ามที่ 2 อย่าคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องมี Range เฉพาะถึงได้ Limp เข้ามา
แม้ว่าผู้เล่นส่วนใหญ่จะ Limp มาด้วย AX ต่าง ๆ ไปจนถึงไพ่คู่ต่ำอย่าง Suited Connectors แต่ก็ไม่เสมอไป คนที่ Limp เข้ามาบางครั้งอาจใช้ไพ่ 43s ไปจนถึง AA ก็ได้เหมือนกัน เรียกได้ว่าโอเคไพ่ไหนก็ใส่เข้ามากันเลย
การจะตี Range ไพ่ของสาย Limp ให้แม่นต้องตอบให้ได้ก่อนว่าพวกเขาเล่นเป็นประจำหรือแค่มือใหม่ หากเป็นอย่างหลังมีโอกาสที่จะใช้ได้ตั้งแต่ 32s จนถึง AJo หรือ KK ก็มีให้เห็น ต่างจากขาประจำที่เน้นความบาลานซ์ การ Limp มักจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เล่น อย่าง late position และมักจะเล่นกันบน short stack มากกว่า แต่จุดเด่นของพวกเขาก็คือจะเริ่ม Limp เมื่อมีคน Limp ก่อนด้วยไพ่ที่เล่นได้หลายทาง เช่น A5s หรือ 33 เป็นต้น
สำหรับการ Limp จาก Small blind บอกได้เลยว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว หลายคนเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับตำแหน่งที่เล่น ก็อาจจะเจอได้ตั้งแต่ range สำหรับ limp/3-Bet limp/fold ไปจนถึง limp/call ดังนั้นหาเราอยู่ในตำแหน่ง Big blind ก็ต้องเอาเรื่องพวกนี้มาดูด้วย แล้วจำไว้เลยว่าการ Check กลับไปมีแต่จะทำให้เสียเปรียบ เพราะมันทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าเราไม่สามารถถือไพ่แข็งอย่าง AA หรือ KK ได้ และกลายเป็นการยื่นโอกาสนี้ให้กับ Small blind อีกด้วย
ข้อห้ามที่ 3 ด้อยค่าตำแหน่งที่ต่ำกว่า
ส่วนใหญ่ที่พากันตายน้ำตื้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตำแหน่งที่นั่ง จริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญและควรจริงจังอย่างมาก เราจำเป็นต้องดูว่าที่นั่งคู่ต่อสู้ก่อนทุกครั้งและคาดเดาว่าพวกเขาถือไพ่ใน Range ไหนอยู่
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติว่าเราเล่นทัวร์นาเมนต์ในเกมที่มี Stack 100BB และมี antes อยู่ด้วย โดยที่เรานั่ง UTG และเราได้ไพ่ 2 ใบ ก่อนจะ Raise 2.2BB นั่นทำให้มีเพียงแค่ Big blind เท่านั้นที่ตัดสินใจคอลตามมา ขณะที่คนอื่นเลือกที่จะหมอบ
Flop (5.8BB) 8♥ 6♦ 5♥
BB check เรา check
Turn (5.8BB) Q♣
BB Bet 2BB เรา Call
River (9.8BB) 9♠
BB Bet 15BB เราจะทำอย่างไร
จะเห็นได้ว่าตำแหน่งของอีกฝ่ายมีความสำคัญมาก การที่เขาเลือก Call จากตำแหน่ง Big blind มีความเป็นไปได้ว่าจะมีสองคู่, ติด Set หรือติด Straight ก็ได้ ซึ่งเราไม่มีทางที่จะมีได้เช่นกัน แล้วในรอบ River เขาเลือกที่จะ Overbet เหมือนเป็นการบอกนัย ๆ ว่าติด Straight แล้ว อาจจะเป็น 7X หรือ JT ก็ได้
จากข้อมูลนี้ทำให้เห็นว่าเรามีแค่ 6 คอมโบจาก 77 เท่านั้นที่อยู่ใน Range ไพ่ของเรา ไพ่ที่เริ่มเล่นก็จะมีตั้งแต่ A7s 87s และ 76s แล้วถ้าในรอบ Flop ตัดสินใจที่จะ check ก็อาจจะได้เพิ่มอีกสัก 10 คอมโบ สิ่งที่เราต้องคิดต่อก็คือในสถานการณ์แบบนี้มีอะไรที่เขาจะเอามาป้องกันจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ได้บ้าง
คำตอบก็คือเขาอาจจะใช้ 7Xs หรือ 7Xo มาป้องกันได้ทั้งหมด รวม ๆ แล้วก็มากถึง 106 คอมโบ หากคิดว่าฝั่งนั้นเป็นพวก Tight ก็อาจช่วยตัด 7Xo ที่แย่ ๆ ออกไปได้ เหลือไว้สัก 55 คอมโบ อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ก็ยังคงมีโอกาสชนะมากกว่าเราอยู่ดี ดังนั้นไม่ว่าคู่ต่อสู้จะนั่งในตำแหน่งไหนก็ตาม เราจะต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าเขามี Range ไพ่ไหนบ้างที่จะเอามาสู้กับเรา
ข้อห้ามที่ 4 ลืมแอคชั่นในรอบก่อน
ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยอย่างมากสำหรับนักเล่นโป๊กเกอร์ นั่นก็คือการไม่ใส่ใจหรือลืมว่ารอบก่อนหน้านี้มีแอคชั่นอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพราะมันส่งผลถึงการคาดเดา Range ไพ่โดยตรง
ยกตัวอย่างเช่นในเกมทัวร์นาเมนต์ที่มี Stack 30BB และมี antes อยู่ด้วย เกมนี้เรานั่ง Hijack และได้ไพ่มา 2 ใบ 4 คนที่อยู่ก่อนหน้าตัดสินใจหมอบ เรา Raise 2.2BB CO หมอบ Button Call และ Small blind กับ Big blind ก็หมอบตามไปด้วย
Flop (6.8BB) J♠ 9♠ 8♣
เรา Check Button Check
Turn (6.8BB) Q♦
เรา Check Button Bet 2BB เรา Call
River (11.2BB) 8♥
เรา Check Button Bet 7BB เราจะทำอย่างไร
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา มองเห็นหรือไม่ว่ามีไพ่ไหนที่ทำให้คู่ต่อสู้เลือกจะเดิมพันเพื่อเพิ่มมูลค่า ตอนนี้ในหัวเรามีไพ่ J9s 98s 88 99 TT JJ QQ KK AA เหล่านี้อยู่หรือไม่ แม้ว่าไพ่ที่กล่าวมาจะไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด บางอันอาจถูกตัดทิ้งในรอบ River เช่นนี้แล้วไพ่ที่ควรจะเป็นคืออะไรกันแน่
ในกรณีที่คู่ต่อสู้ที่มี Stack 30BB ต้องมาสู้กับ Hijake ที่น่าจะ 3-Bet ด้วย TT+ ซึ่งในรอบ River เราต้องตัดไพ่เหล่านี้ออกจาก Range ก็จะเหลือไพ่ J9s 98s 88 และ 99 หลังจากที่เรา check flop อีกฝ่ายเลือกที่จะ check ด้วย อาจเพราะกังวลว่าเรามี 7 T J Q หรือโพธิ์ดำในมือ
นอกจากไพ่ในมือแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะใส่ใจด้วยก็คือขนาดการเดิมพัน ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราตีกรอบ Range ไพ่ให้แคบได้เช่นกัน
อย่าลืมสิ่งนี้ หากคิดย้ายค่าย Texas Holdem ไป Pot Limit Omaha เพราะไม่ใช่แค่กติกาแต่ยังรวมไปถึงแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญต่อการเป็นผู้ชนะงั้นไปดูกันว่าก่อนย้ายไป Pot มีอะไรต้องรู้บ้าง