เสน่ห์อีกอย่างของ โป๊กเกอร์ ก็คือการที่ผู้เล่นจะต้องมีกลยุทธ์มารับมือกับสถานการณ์ที่ยากต่อการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นตัวคู่ต่อสู้ด้วยกันเอง ไปจนถึงไพ่บนบอร์ดที่ยากต่อการคาดเดา แม้ว่าจะมีความน่าจะเป็นที่ไพ่จะออกได้หลายแบบ แต่สำหรับใครที่เล่นไพ่นี้มานานจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันมีบอร์ดแค่ 6 แบบเท่านั้นที่ออกมาให้เห็นกันบ่อย ๆ สำหรับใครที่เป็นมือใหม่วันนี้เราจะพาไปดูกันว่าแต่ละบอร์ดที่ว่ามีอะไรบ้าง แล้วเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ควรจะเล่นอย่างไรเพื่อให้มีโอกาสทำกำไรมากที่สุด

เล่นโป๊กเกอร์อย่างไรเมื่อต้องไปจะ 6 บอร์ดนี้

Rainbow disconnected board

จุดเด่นของบอร์ดลักษณะนี้คือไม่มีจุดเชื่อมต่อใด ๆ ทำให้ยากต่อการรอสีรอเรียง เช่น K♦, 7♥, 3♠ หรือ A♠, 9♣, 4♦ ตำแหน่งที่นั่งจึงส่ง่ผลต่อความ Aggressive ไปจนถึงขนาดของ C-Bet โดยเฉพาะคนที่เล่นในตำแหน่ง In position เพราะตำแหน่ง Blind ส่วนมากจะพลาดไพ่หลายอย่าง การ C-Bet ก็น้อยด้วย ทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกลำบากในการตัดสินใจ

แต่ถ้าเราต้องไปอยู่ในตำแหน่ง Blind เสียเองก็อาจต้อง Call มากกว่าเดิม หรือใช้ไพ่ที่อ่อนกว่าปกติเล่น อย่างเวลาเจอ Bet น้อย ๆ เราก็อาจใช้ไพ่สูงกว่าบอร์ดคอลเข้าไป แต่อาจจะมี A กับไพ่สูง ๆ จนถึงกลาง หรือจะเป็น Backdoor flush ก็ได้ ดังนั้นการคอลจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามขนาด Bet ของคู่ต่อสู้ด้วย

ทริคที่น่าสนใจสำหรับการเล่น Rainbow disconnected board ก็คือ หากเราอยู่ใน in position จะต้องเอาไพ่ใน merged range มาทำการ C-Bet เล็ก ๆ อาจจะเป็น 1/3 ของ Pot ด้วยไพ่ 55, 88 เมื่อต้องเจอกับบอร์ด K♦, 7♥, 3♠  เป็นต้น

กับอีกทริคหนึ่งก็คือเมื่อเรานั่งในตำแหน่ง Big Blind ต้องขยาย range ไพ่ แล้วจัดการบลัฟฟ์ด้วย check-raise เพราะคนส่วนใหญ่จะเดิมพันด้วยไพ่บลัฟฟ์มากเกินไป แถมยังไม่รู้ว่าต้องป้องกันอย่างไรด้วย

โป๊กเกอร์ทริค 5 เทคนิคเล่น Backdoor Flush และ Straight Draws ให้อยู่หมัด และมีความได้เปรียบมากพอที่จะเข้าไปเล่นได้ถึงรอบ River ด้วย ถ้างั้นรีบไปดูกันเหอะ

Pair board

บอร์ดคู่จะมีลักษณะเด่นคือมีไพ่คู่อยู่บนบอร์ด เช่น J♠, J♣, 5♥ หรือ 9♦, 9♥, 7♣ แม้ว่าโอกาสจะเกิดบอร์ดนี้มีค่อนข้างน้อย ทำให้มีเพียงไม่กี่คอมโบเท่านั้นที่จะมีโอกาสติด เราสามารถใช้เทคนิคเดียวกับ Rainbow disconnected board มาประยุกต์ใช้ได้ โดย C-Bet ด้วยมูลค่าเดิมพันน้อย ๆ

Rainbow connected board

C-Bet ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการเล่นบนบอร์ดลักษณะนี้ เพียงแค่ความถี่อาจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบอร์ดรูปแบบอื่น การใช้ C-Bet เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้กับคู่ต่อสู้จำเป็นต้องใช้เดิมพันที่ใหญ่กว่า Rainbow disconnected board และ Pair board เพราะความเป็นไปได้ที่จะติดไพ่บนบอร์ดนั้นมีมาก เหมือนเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าถ้าอยากตามมาดูไพ่ก็ต้องจ่ายให้มากกว่าเดิมกันหน่อย ส่วนใครที่อยู่ในตำแหน่ง Blind ก็ยังคงคอลตามมาด้วยไพ่กลาง ๆ ได้เช่นเดียวกับบอร์ดสองแบบแรกเช่นกัน

หัวใจสำคัญในการเล่นบนบอร์ดนี้หากเรา C-Bet ไปจะต้องระวังให้มากเมื่ออีกฝ่ายคอลตามมา และไพ่ Turn มีโอกาสทำให้อีกฝ่ายติด Straight ได้ ถ้าในรอบ Turn เป็นอย่างที่ว่าไปล่ะก็ ควรจะใช้ไพ่ Polarized range ในการเดิมพัน แล้ว check คู่สูงหรือไพ่อื่น ๆ แทน

เมื่อใดก็ตามที่เรานั่ง Big Blind ควรจะใช้ไพ่ที่มีโอกาสติด Straight เป็นหลัก หรือ Backdoor straight ควบ Backdoor flush ในการ Check-raise ก็ได้

เล่นโป๊กเกอร์อย่างไรเมื่อต้องไปจะ 6 บอร์ดนี้

Two-tone disconnected board

โดยทั่วไปแล้วบอร์ดนี้จะมีไพ่ดอกเดียวกันอย่างน้อย 2 ใบ เช่น K♣, 8♣, 3♦ หรือ Q♥, 7♥, 3♣ ซึ่งถือว่าเป็นบอร์ดที่ยังไม่ Wet เราจะต้องใช้ C-Bet ที่มีมูลค่าน้อยในการกดดันคู่ต่อสู้บ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้อีกฝ่ายที่ถือไพ่ที่พลาดบนบอร์ด แม้ว่าบอร์ดนี้เราจะมีความหวังในไพ่สูงที่รอ Backdoor flush การ C-Bet น้อย ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

Two-tone connected board

การออกไพ่บนบอร์ดลักษณะนี้จะเหมือนกับ Two-town disconnected เพียงแค่บอร์ดนี้จะเต็มไปด้วยไพ่ที่พร้อมจะติดคอมโบ ความได้เปรียบของไพ่แต่ละใบก็ไล่เลี่ยกันหมด การเล่นบนบอร์ดนี้จะต้องใช้ Polarized range เท่านั้น ทำให้ไพ่ที่ใช้ได้มีค่อนข้างจำกัด ขณะเดียวกันขนาดเดิมพันก็ต้องใหญ่ขึ้นด้วย เพื่อให้ Pot Odds ของคนอื่นแย่พอที่จะคอลตามไม่ได้

แต่ถ้าเราไปนั่งในตำแหน่ง Blind ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องเจอกับเดิมพันเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ่งที่ทำได้คือ Tight ให้มากกว่าเดิม ไม่ต้องไปสนใจใช้ไพ่อ่อน ๆ เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่บลัฟฟ์บ่อยหรือเล่นมั่ว ๆ บนบอร์ดแบบนี้ ส่วนมากจะเน้นเพิ่มมูลค่ากันเป็นหลัก

สำหรับทริคการเล่นบน Two-tone connected board การ check-raise จำเป็นต้องรอไพ่ Open-ended straight หรือ gutshots ที่มี backdoor flush ด้วย เพราะถือเป็นไพ่แข็งที่เหมาะกับการเล่นด้วยกลยุทธ์นี้ แล้วถ้าจะเดิมพันเพื่อเพิ่มมูลค่าก็จำเป็นต้องใช้ไพ่แข็กมาก ส่วนใหญ่จะไม่ต่ำกว่าคู่สูง ตัวคุมสูง และเมื่อใดก็ตามที่โดน Raise กลับมา ให้ Tight หนักกว่าเดิมแค่นั้นก็พอ

Monotone board

บอร์ดลักษณะนี้จะมีจุดเด่นคือออกดอกเดียวกันทั้ง 3 ใบ สิ่งสำคัญคือต้องใช้ความระมัดระวังในการเล่นให้มากขึ้น อาจต้อง Check มากกว่าบอร์ดลักษณะอื่น เพราะว่า Monotone สามารถแตกออกได้หลายแบบ การจะเล่นเพื่อเพิ่มมูลค่าจะต้องใช้ไพ่แข็งอย่าง Set หรือ Flush เท่านั้น ส่วนไพ่กลาง ๆ จะใช้การ Check เป็นหลัก ที่สำคัญคืออย่าบลัฟฟ์ด้วยไพ่ที่ไม่แข็ง

อยากทำกำไร Multiway Pots ต้องไพ่นี้เท่านั้น แต่จะเป็นไพ่แบบไหนที่ควรเอามาเล่น Multiway Pots ก็ต้องไปดูพร้อมกัน

 

Similar Posts